เกร็ดความรู้

ออมสินในทศวรรษที่ ๒๔๙๐ จะยังคงบทบาทเป็นเครื่องมือทางการเงินการคลังของรัฐบาล หากแต่รูปแบบของการใช้เป็นเครื่องมือเปลี่ยนไปจากเดิม กล่าวคือ ออมสินกลายเป็นแหล่งเงินกู้แก่หน่วยงานของรัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตลอดรวมไปถึงวิสาหกิจและบริษัทของรัฐ ซึ่งรูปแบบอย่างนี้เห็นได้ตั้งแต่ทศวรรษที่ ๒๔๘๐ แต่จะเห็นได้ชัดเจนในทศวรรษที่ ๒๔๙๐ ในเวลาที่คลังออมสินเปลี่ยนฐานะเป็นธนาคารออมสินแล้ว
ข้อเสนอที่ว่าคลังออมสินควรจะเป็นธนาคารออมสินน้ัน ก็คือข้อเสนอเดียวกับที่พระยาเชาวนานุสถิติเสนอไว้ใน พ.ศ. ๒๔๗๑ ว่าควรจัดการคลังออมสินในรูปขององค์กรที่แยกออกมาต่างหาก และให้เรียกชื่อว่า Government Savings Bank of Siam อย่างไรก็ดี คลังออมสินยังคงสังกัดกรมไปรษณย์โทรเลขไม่ได้แยกออกเป็นองค์กรต่างหาก และยังอยู่ในสังกัดเดิมนี้มาจนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ กระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๗ จึงเห็นความพยายามที่จะแยกคลังออมสินออกมาเป็นองค์กรต่างหาก คือ เป็นธนาคารออมสิน
เมื่อแรกจัดการคลังออมสินในกรมไปรษณีย์โทรเลขนั้น มีฐานะเป็นแผนกคลังออมสิน ขึ้นกับกองบัญชี ครั้นเมื่อกิจการขยายตัวขึ้นก็ยกฐานะขึ้นเป็นกองคลังออมสิน ใน พ.ศ.๒๔๗๗ มีนายสวัสดิ์เป็นหัวหน้ากองคนแรก และเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์ โทรเลข ใน พ.ศ.๒๔๘๘
ความเจริญเติบโตของคลังออมสินเกิดขึ้นอย่างมากในช่วงโอนมาอยู่กับกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยที่คลังออมสินเป็นที่นิยมของประชาชนกว้างขวางขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งจำนวนผู้ฝากเงินและจำนวนเงินฝากที่คลังออมสินรับฝากไว้ ปรากฏว่าเพิ่มปริมาณขึ้นเป็นลำดับ จึงเป็นการเหลือมือของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานคลังออมสินตามที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข และอีกประการหนึ่งสำหรับประชาชนคนฝากที่ฝากเงินเป็นจำนวนมากๆ เมื่อมีการถอนเงินเป็นจำนวนมาก ทำให้การจ่ายถอนเงินขลุกขลัก ขัดข้อง หรือล่าช้า เพราะวงเงินเก็บรักษาของสานักงานคลังออมสินสาขา รวมทั้งที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขที่ปฏิบัติงานคลังออมสินขณะน้ันมีวงเงินอันจำกัด โดยที่คลังออมสินไม่มีกฎข้อบังคับจากัดวงเงินถอนเหมือนกับการคลังออมสินในต่างประเทศที่เขาปฏิบัติกัน จึงเป็นเหตุให้ประชาชนผู้ฝากไม่สู้จะได้รับความสะดวกเท่าที่ควร
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงคิดจะปรับปรุงกิจการคลังออมสิน โดยกรมไปรษณีย์โทรเลขเตรียมการ เรื่องนี้มาต้ังแต่ พ.ศ.๒๔๘๗ และที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๗ ก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคลังออมสินรัฐบาล ที่คณะกรรมการกฤษฎีกายกร่างกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วย หม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์ นายเสริม วินิจฉัยกุล นายสวัสดิ์ โสตถิทัต นายถนิม ปัทมสูต และผู้แทนคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีชื่อของนายสวัสดิ์เข้าไปอยู่ด้วยนี้คงเป็นเพราะนายสวัสดิ์ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการออมสินมาแต่ต้น และนายสวัสดิ์ ก็เป็นผู้ที่เคยไปดูงานกิจการคลังออมสิน ณ ประเทศออสเตรเลียเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๑ แต่เพียงผู้เดียวที่ได้เป็นกรรมการพจิารณาร่างพระราชบญัญัติคลังออมสินรัฐบาล 
รัฐบาลนำเรื่องการปรับปรุงกิจการออมสินเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีหลายครั้ง จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีชุดที่มี นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรีมีมติให้ปรับปรุงกิจการออมสินให้เป็น ธนาคารเต็มรูปแบบตามอย่างที่มีดาเนินการในต่างประเทศ และให้กระทรวงการคลังรับเรื่องไป พิจารณาร่างพระราชบัญญัติคลังออมสินของรัฐบาลแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นร่างพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน และประกาศใช้ในสมัยของรัฐบาลที่มี พล.ร.ต.ถวัลย์ ธารงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี

พระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ.๒๔๘๙ มีผลบังคับใช้ในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๐๗๑ และธนาคารออมสินก็เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา ธนาคารออมสิน ซึ่งต้ังขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ.๒๔๘๙ นี้ มีฐานะเป็นนิติบุคคล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลกิจการธนาคาร และมีคณะกรรมการธนาคารเป็นผู้ควบคุมและดูแลกิจการธนาคาร ประธานคณะกรรมการธนาคารออมสินคนแรกคือพระยานิติศาสตร์ไพศาล (วันจามรมาน) ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนแรกคือ นายสวัสด์ิ โสตถิทัต และนายถนิม ปัทมสูต เป็นรองผู้อำนวยการเมื่อปรับเปลี่ยนมาเป็นธนาคารออมสินแล้ว ก็จะเห็นแนวทางการดำเนินงานที่ปรับเปล่ียนไปชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลโดยตรงมาจากการเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจในยุคน้ัน กล่าวโดยย่อ นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยต้ังแต่หลัง พ.ศ.๒๔๗๕ จนถึง พ.ศ.๒๕๐๐ นั้น อาจเรียกได้ว่านโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม คือ รัฐบาลพยายามเข้ามาจัดการเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนใหญ่ในเวลาน้ันอยู่ในอิทธิพลของพ่อค้าชาวจีน ด้วยการพยายามทำลายฐานเศรษฐกิจของพ่อค้าชาวจีน และพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจชาติด้วยการสนับสนุนให้สมาชิกคณะราษฎรตั้งธนาคารพาณิชย์ รัฐวิสาหกิจ กึ่งรัฐวิสาหกิจ และบริษัทส่วนตัวขึ้น และความพยายามนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการลดอิทธิพลทางเศรษฐกจิ ของกลุ่มเจ้านาย-ขุนนาง ที่พ้นจากอำนาจทางการเมืองหลัง พ.ศ.๒๔๗๕ ด้วย แต่จะเห็นบทบาทของการเป็นแหล่งเงินกู้อย่างชัดเจน หลังรัฐประหาร ๒๔๙๐ ซ่ึงในกรณีนี้เป็นการปล่อยกู้ให้แก่วิสาหกิจของรัฐ ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ในทศวรรษที่ ๒๔๙๐ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของรัฐวิสาหกิจ โดยในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษที่ ๒๔๙๐ ผู้กู้ส่วนมากเป็นวิสาหกิจของรัฐ ขณะที่ครึ่งหลังของทศวรรษนั้นจะปล่อยให้แก่กระทรวงมหาดไทย เพื่อใช้ในกิจของเทศบาลหรือไม่เช่นนั้นก็ให้เทศบาลกู้โดยตรง 
สงครามเย็นที่เกิดขึ้นหลังการยุติของสงครามโลกครั้งที่สอง ชักนำให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาในประเทศไทย เพื่อใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการปิดล้อม ประเทศสังคมนิยมและสกัดกั้นการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ เพื่อจะให้สำเร็จลุล่วงไปตามนโยบาย จึงเป็นความจำเป็นที่สหรัฐอเมริกาจะต้องเข้ามาแทรกแซงหรือมีส่วนในการกำหนดนโยบายของไทยในทางเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาซึ่งสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีจึงต่อต้านและกดดันให้รัฐบาลไทยละทิ้งนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม
รัฐบาลไทยในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม จึงได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและวิชาการ กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ แต่นโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยม โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนตามพระราชบัญญัติสิ่งเสริมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๔๙๗ ก็ไม่เห็นผลในทางปฏิบัติ กระทั่งเกิดการรัฐประหารในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๐ คณะรัฐประหารชุดนี้เรียกตนเองว่าคณะปฏิวัติ มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ การรัฐประหาร ๒๕๐๐ นี้เท่ากับเป็นจุดสิ้นสุดของนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม รัฐเริ่มลดบทบาททางเศรษฐกิจลงและถ่ายโอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน จำนวนวิสาหกิจของรัฐจึงลดลงจากที่เคยมีสูงถึง ๑๔๑ แห่ง ใน พ.ศ.๒๕๐๐ มาเป็น ๖๙ แห่ง ใน พ.ศ.๒๕๑๙
อาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนจาก "คลังออมสิน" มาสู่ "ธนาคารออมสิน" นั้น สาเหตุหนึ่งก็เนื่องจากการเติบโตของยอดเงินฝากและจำนวนผู้ฝากเงินธนาคารที่ต้องการการบริหารที่คล่องตัวขึ้น การแยกออกมาเป็นอิสระจากกรมไปรษณีย์โทรเลขจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทางานตอบสนองต่อฐานผู้ใช้บริการที่ได้ขยายอย่างกว้างขวางภายใต้สังกัดเดิม ประกอบกับแนวคิดเศรษฐกิจชาตินิยมที่ก่อให้เกิดวิสาหกิจจำนวนมากที่ต้องการเงินทุนสนับสนุน ทำให้แนวทางการส่งเสริมกิจการของรัฐได้มุ่งเน้นไปท่ีการให้เงินกู้กับรัฐวิสาหกิจมากข้ึน อย่างไรก็ดี แนวทางดังกล่าวจะนาไปสู่ปัญหาของธนาคาร และจะกลายเป็นปัจจัยสาคัญในการกำหนดนโยบายของธนาคารออมสินในยุคถัดไป

No comments:

Post a Comment